กราฟคากิเป็นประเภทของกราฟทางการเงินเฉพาะด้านที่ใช้ในการวิเคราะห์เชิงเทคนิคเพื่อระบุแนวโน้มตลาดและจุดกลับตัวที่เป็นไปได้ แตกต่างจากกราฟแบบดั้งเดิม เช่น กราฟแท่งเทียนหรือเส้นกราฟทั่วไป กราฟคากิเน้นความแข็งแกร่งและทิศทางของการเคลื่อนไหวของราคาโดยให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนทิศทางอย่างมีนัยสำคัญมากกว่าช่วงเวลาแบบตามปกติ พัฒนาขึ้นโดยนักวิเคราะห์เชิงเทคนิคชื่อดัง สตีฟ นิสัน ในช่วงปี 1980 ซึ่งวิธีนี้ได้รับความนิยมในหมานักเทรดเดอร์ที่ต้องการมองเห็นภาพรวมแนวโน้มตลาดได้ชัดเจนขึ้น
หลักการสำคัญของกราฟคากิคือวิธีการแสดงข้อมูลราคาที่แตกต่างจากแบบทั่วไป โดยจะบันทึกเฉพาะจุดที่ราคามีการเปลี่ยนทิศทางเกินกว่าค่าที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งเรียกว่า "จำนวนย้อนกลับ" (reversal amount) เมื่อราคาขยับเกินค่าดังกล่าวในทิศทางใด ทรงของเส้นบนกราฟก็จะเปลี่ยนไป เช่น จากเส้นบางเป็นเส้นหนา เพื่อแสดงถึงความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นหรือสัญญาณกลับตัว
จุดย้อนกลับจะถูกทำเครื่องหมายด้วยเส้นแนวตั้งซึ่งเปลี่ยนทิศทางตามว่าราคาอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือลง วิธีนี้ช่วยให้นักเทรดสามารถมองภาพรวมว่า ราคามีแนวโน้มแข็งแรงหรืออยู่ในช่วงสะสม ทำให้สามารถระบุจุดเข้า-ออกได้ง่ายขึ้น
คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ กราฟคากิเหมาะสำหรับเน้นดูโมเมนตัมและความแข็งแรงของแนวโน้ม โดยไม่ถูกล่อมด้วยข้อมูลอื่น ๆ เช่น ปริมาณซื้อขาย หรือเวลาที่ผ่านไป
นักเทรดนิยมใช้เพราะสามารถลดเสียงคลื่นเล็ก ๆ ของตลาดลง และเน้นเฉพาะ movements ที่มีความสำคัญจริง ๆ จึงเหมาะสำหรับสถานการณ์ผันผวนสูง เช่น ตลาดคริปโตเคอร์เร็นซี ที่มี swings รุนแรงบ่อยครั้ง และช่วยให้จับแนวโน้มหรือสัญญาณชี้นำได้เร็วขึ้น เนื่องจากไม่ผูกติดกับช่วงเวลาคงที่ แต่ตอบสนองตาม price action เท่านั้น จึงให้สัญญาณชัดเจนกว่าเมื่อสินทรัพย์เริ่มพลิกตัว ช่วยหลีกเลี่ยงสัญญาณผิดพลาดซึ่งเกิดจาก volatility ระยะสั้นในหลายๆ ชาร์ตทั่วโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคริปโตเคอร์เร็นซี เช่น Bitcoin, Ethereum นักเทรดยุคนำ้ใหม่หันมาใช้ กราฟ คากิมากขึ้น เนื่องจากประสิทธิภาพในการจัดการกับ volatility สูง การ swings รุนแรงเหล่านี้อาจบดบังภาพรวม แนวนโยบายหลักคือโฟกัสบน reversal สำเร็จรูปมากกว่า ช่วยสร้างกลยุทธ์เข้าออกตลาดได้ดีขึ้น นอกจากนี้ แพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ก็เริ่มรองรับเครื่องมือสร้าง chart ประเภทนี้มากขึ้น รวมทั้งบทเรียน วิดีโอสัมมนา ก็ช่วยสนับสนุนผู้ใช้งานใหม่เข้าใจวิธีอ่านค่าและใช้งานภายในกลยุทธ์ระดับสูงได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
แม้ว่าจะมีข้อดี แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการ ได้แก่:
คำแนะนำคือ ควบคู่กับเครื่องมืออื่นๆ เพื่อเพิ่มแม่นยำ และลดโอกาสผิดพลาด
ตั้งแต่ปี 1980s เมื่อ สตีฟ นิสัน ผู้คิดค้น ได้เผยแพร่ เทคนิคแท่งเทียนญี่ปุ่น รวมถึงวิธีสร้าง chart แบบ Kagis ก็ได้รับนิยมเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตลอดจนเข้าสู่ยุครุ่งเรืองด้าน Crypto ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา นักลงทุนทั้งรายใหญ่รายเล็ก หันมาใช้กันมาก เพราะช่วยเปิดเผย trend ที่แท้จริงแม้อยู่ในภาวะ volatile สูง ปัจจุบัน ระบบ trading platform หลายแห่งรองรับเครื่องมือเหล่านี้แล้ว พร้อมทั้งบทเรียนออนไลน์จำนวนมาก ช่วยให้อธิบายวิธีอ่านค่า วิเคราะห์ และปรับกลยุทธ์เพิ่มเติมอย่างครบถ้วน
เมื่อเข้าใจว่า เครื่องมือนี้ทำงานอย่างไร ภายในบริบทกลยุทธทั้งหมด — พร้อมรู้จักข้อดีข้อเสีย — จะช่วยเปิดโอกาสในการเดินเกมลงทุนอย่างมั่นใจ มีระบบ มี discipline มากที่สุด
– หนังสือ “Japanese Candlestick Charting Techniques” ของ สตีฟ นิสัน ซึ่งเป็นหนังสือเบื้องต้นเกี่ยวกับพื้นฐาน เทคนิคนี้สามารถนำไปปรับใช้ร่วมกันหลายรูปแบบ รวมถึง Kagis– คอร์สอบรมออนไลน์ จากแพลตฟอร์มนำเสนอขั้นตอนทีละขั้นตอน สำหรับผู้เริ่มต้น – งานวิจัยด้าน analysis ทางเทคนิค ทั้งเรื่องหุ้น, คริปโต ฯลฯ เพื่อศึกษาประสิทธิภาพ วิธีใช้อย่างละเอียด
สุดท้ายแล้ว การเลือกใช้ เทคนิคใดควรร่วมมือหลายองค์ประกอบ ทั้งพื้นฐาน วิเคราะห์เชิงปริมาณ รวมถึงบริหารจัดการเงินทุน ด้วย ความรู้ + ประสบการณ์ + ความอดทนนี่เองที่จะทำให้คุณประสบผลสำเร็จก้าวหน้าในวงการเดิมพัน/ลงทุน!
kai
2025-05-19 03:51
แผนภูมิ Kagi คืออะไร?
กราฟคากิเป็นประเภทของกราฟทางการเงินเฉพาะด้านที่ใช้ในการวิเคราะห์เชิงเทคนิคเพื่อระบุแนวโน้มตลาดและจุดกลับตัวที่เป็นไปได้ แตกต่างจากกราฟแบบดั้งเดิม เช่น กราฟแท่งเทียนหรือเส้นกราฟทั่วไป กราฟคากิเน้นความแข็งแกร่งและทิศทางของการเคลื่อนไหวของราคาโดยให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนทิศทางอย่างมีนัยสำคัญมากกว่าช่วงเวลาแบบตามปกติ พัฒนาขึ้นโดยนักวิเคราะห์เชิงเทคนิคชื่อดัง สตีฟ นิสัน ในช่วงปี 1980 ซึ่งวิธีนี้ได้รับความนิยมในหมานักเทรดเดอร์ที่ต้องการมองเห็นภาพรวมแนวโน้มตลาดได้ชัดเจนขึ้น
หลักการสำคัญของกราฟคากิคือวิธีการแสดงข้อมูลราคาที่แตกต่างจากแบบทั่วไป โดยจะบันทึกเฉพาะจุดที่ราคามีการเปลี่ยนทิศทางเกินกว่าค่าที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งเรียกว่า "จำนวนย้อนกลับ" (reversal amount) เมื่อราคาขยับเกินค่าดังกล่าวในทิศทางใด ทรงของเส้นบนกราฟก็จะเปลี่ยนไป เช่น จากเส้นบางเป็นเส้นหนา เพื่อแสดงถึงความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นหรือสัญญาณกลับตัว
จุดย้อนกลับจะถูกทำเครื่องหมายด้วยเส้นแนวตั้งซึ่งเปลี่ยนทิศทางตามว่าราคาอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือลง วิธีนี้ช่วยให้นักเทรดสามารถมองภาพรวมว่า ราคามีแนวโน้มแข็งแรงหรืออยู่ในช่วงสะสม ทำให้สามารถระบุจุดเข้า-ออกได้ง่ายขึ้น
คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ กราฟคากิเหมาะสำหรับเน้นดูโมเมนตัมและความแข็งแรงของแนวโน้ม โดยไม่ถูกล่อมด้วยข้อมูลอื่น ๆ เช่น ปริมาณซื้อขาย หรือเวลาที่ผ่านไป
นักเทรดนิยมใช้เพราะสามารถลดเสียงคลื่นเล็ก ๆ ของตลาดลง และเน้นเฉพาะ movements ที่มีความสำคัญจริง ๆ จึงเหมาะสำหรับสถานการณ์ผันผวนสูง เช่น ตลาดคริปโตเคอร์เร็นซี ที่มี swings รุนแรงบ่อยครั้ง และช่วยให้จับแนวโน้มหรือสัญญาณชี้นำได้เร็วขึ้น เนื่องจากไม่ผูกติดกับช่วงเวลาคงที่ แต่ตอบสนองตาม price action เท่านั้น จึงให้สัญญาณชัดเจนกว่าเมื่อสินทรัพย์เริ่มพลิกตัว ช่วยหลีกเลี่ยงสัญญาณผิดพลาดซึ่งเกิดจาก volatility ระยะสั้นในหลายๆ ชาร์ตทั่วโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคริปโตเคอร์เร็นซี เช่น Bitcoin, Ethereum นักเทรดยุคนำ้ใหม่หันมาใช้ กราฟ คากิมากขึ้น เนื่องจากประสิทธิภาพในการจัดการกับ volatility สูง การ swings รุนแรงเหล่านี้อาจบดบังภาพรวม แนวนโยบายหลักคือโฟกัสบน reversal สำเร็จรูปมากกว่า ช่วยสร้างกลยุทธ์เข้าออกตลาดได้ดีขึ้น นอกจากนี้ แพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ก็เริ่มรองรับเครื่องมือสร้าง chart ประเภทนี้มากขึ้น รวมทั้งบทเรียน วิดีโอสัมมนา ก็ช่วยสนับสนุนผู้ใช้งานใหม่เข้าใจวิธีอ่านค่าและใช้งานภายในกลยุทธ์ระดับสูงได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
แม้ว่าจะมีข้อดี แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการ ได้แก่:
คำแนะนำคือ ควบคู่กับเครื่องมืออื่นๆ เพื่อเพิ่มแม่นยำ และลดโอกาสผิดพลาด
ตั้งแต่ปี 1980s เมื่อ สตีฟ นิสัน ผู้คิดค้น ได้เผยแพร่ เทคนิคแท่งเทียนญี่ปุ่น รวมถึงวิธีสร้าง chart แบบ Kagis ก็ได้รับนิยมเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตลอดจนเข้าสู่ยุครุ่งเรืองด้าน Crypto ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา นักลงทุนทั้งรายใหญ่รายเล็ก หันมาใช้กันมาก เพราะช่วยเปิดเผย trend ที่แท้จริงแม้อยู่ในภาวะ volatile สูง ปัจจุบัน ระบบ trading platform หลายแห่งรองรับเครื่องมือเหล่านี้แล้ว พร้อมทั้งบทเรียนออนไลน์จำนวนมาก ช่วยให้อธิบายวิธีอ่านค่า วิเคราะห์ และปรับกลยุทธ์เพิ่มเติมอย่างครบถ้วน
เมื่อเข้าใจว่า เครื่องมือนี้ทำงานอย่างไร ภายในบริบทกลยุทธทั้งหมด — พร้อมรู้จักข้อดีข้อเสีย — จะช่วยเปิดโอกาสในการเดินเกมลงทุนอย่างมั่นใจ มีระบบ มี discipline มากที่สุด
– หนังสือ “Japanese Candlestick Charting Techniques” ของ สตีฟ นิสัน ซึ่งเป็นหนังสือเบื้องต้นเกี่ยวกับพื้นฐาน เทคนิคนี้สามารถนำไปปรับใช้ร่วมกันหลายรูปแบบ รวมถึง Kagis– คอร์สอบรมออนไลน์ จากแพลตฟอร์มนำเสนอขั้นตอนทีละขั้นตอน สำหรับผู้เริ่มต้น – งานวิจัยด้าน analysis ทางเทคนิค ทั้งเรื่องหุ้น, คริปโต ฯลฯ เพื่อศึกษาประสิทธิภาพ วิธีใช้อย่างละเอียด
สุดท้ายแล้ว การเลือกใช้ เทคนิคใดควรร่วมมือหลายองค์ประกอบ ทั้งพื้นฐาน วิเคราะห์เชิงปริมาณ รวมถึงบริหารจัดการเงินทุน ด้วย ความรู้ + ประสบการณ์ + ความอดทนนี่เองที่จะทำให้คุณประสบผลสำเร็จก้าวหน้าในวงการเดิมพัน/ลงทุน!
คำเตือน:มีเนื้อหาจากบุคคลที่สาม ไม่ใช่คำแนะนำทางการเงิน
ดูรายละเอียดในข้อกำหนดและเงื่อนไข