JCUSER-WVMdslBw
JCUSER-WVMdslBw2025-05-01 11:41

Chande Momentum Oscillator แตกต่างจากตัวบ่งชี้เทรดชนิดมอเมนทั่ม传统อย่างไร?

วิธีที่ Chande Momentum Oscillator แตกต่างจากตัวชี้วัดโมเมนตัมแบบดั้งเดิม?

การเข้าใจความแตกต่างของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุนที่ต้องการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล ในบรรดาเครื่องมือต่าง ๆ ตัวชี้วัดโมเมนตัมมีบทบาทสำคัญในการประเมินความแข็งแกร่งและความยั่งยืนของแนวโน้มราคา ชานด์ โมเมนตัม ออสซิลเลเตอร์ (CMO) ซึ่งพัฒนาโดย Tushar Chande ในช่วงทศวรรษ 1990 มีแนวทางเฉพาะตัวเมื่อเปรียบเทียบกับตัวชี้วัดโมเมนตัมแบบดั้งเดิม เช่น Relative Strength Index (RSI) บทความนี้จะอธิบายว่า CMO แตกต่างจากเครื่องมือทั่วไปอย่างไร โดยเน้นวิธีการคำนวณ ความไวต่อสภาพตลาด และการใช้งานในเชิงปฏิบัติ

ตัวชี้วัดโมเมนตัมคืออะไร?

ก่อนที่จะเจาะลึกถึงความแตกต่าง สิ่งสำคัญคือเข้าใจว่าตัวชี้วัดโมเมนตัมทำอะไร พวกมันจะวัดอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ โดยช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุได้ว่า สินทรัพย์กำลังเพิ่มหรือสูญเสียแรงขับเคลื่อน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการจับจังหวะเข้าซื้อหรือขายในตลาด เช่น หุ้น หรือคริปโตเคอร์เรนซี

ตัวชี้วัดโมเมนตัมแบบดั้งเดิม เช่น RSI วิเคราะห์แนวดิ่งของราคาล่าสุดเพื่อสร้างสัญญาณเกี่ยวกับภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป สัญญาณเหล่านี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถทำนายได้ว่ามีโอกาสเกิดการกลับตัวหรือแนวนอนต่อเนื่องกันของแนวโน้มราคา

วิธีคำนวณเฉพาะของ Chande Momentum Oscillator

หนึ่งในความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่าง CMO กับตัวชี้วัดทั่วไปอยู่ที่สูตรการคำนวณ RSI จะใช้ค่าเฉลี่ยกำไรและขาดทุนในช่วงเวลาที่กำหนด—โดยปกติคือ 14 วัน—to produce its readings on a scale from 0 to 100.

ตรงกันข้าม CMO ใช้วิธีที่แตกต่างออกไป ซึ่งพิจารณาทั้งขนาดและทิศทางอย่างละเอียดมากขึ้น:

  • คำนึงถึง ส่วนต่างระหว่างจุดสูงสุดล่าสุดกับต่ำสุดล่าสุด ภายในช่วงเวลาที่กำหนด
  • แล้วนำมาหารด้วย ผลรวมของค่าความแตกต่างสัมบูรณ์ ระหว่างราคาปิดแต่ละวันในช่วงเวลาเดียวกัน

วิธีนี้ส่งผลให้ค่าที่ได้อยู่ระหว่าง -100 ถึง +100 แทนที่จะเป็น 0–100 เหมือน RSI ซึ่งช่วยให้เห็นภาพรวมเกี่ยวกับแรงสนับสนุนทั้งด้านขึ้นและลงพร้อมกัน ทำให้เข้าใจแนวนอนและแรงผลักดันตามธรรมชาติได้ดีขึ้นกว่าเดิม

ความไวต่อความผันผวนของตลาด

สภาพคล่องและความผันผวนของตลาดสามารถส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของเครื่องมือเหล่านี้ได้ RSI มีแน้วโน้มที่จะไวมาก เมื่อเกิดการแก่วิ่งเร็ว ๆ หรือ ตลาดมีเสียงดัง มันอาจสร้างสัญญาณผิดพลาดจำนวนมาก เนื่องจากอาศัยค่าเฉลี่ยกำไร/ขาดทุนระยะสั้นเป็นหลัก

ส่วน CMO ได้รับการออกแบบมาเพื่อลดผลกระทบจาก volatility อย่างรวบรัด การคิดเลขนี้จะทำให้เสียงรบกวนลดลง จึงเหมาะสมสำหรับสินทรัพย์เช่นคริปโต ที่มักพบกับพลิกผันอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่ใช่เครื่องมือสมบูรณ์ เพราะไม่มีอะไรที่ปลอดภัยจากสัญญาณผิด คำแนะนำคือใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นเพื่อเสริมประสิทธิภาพสูงสุด

ระดับ overbought และ oversold: เกณฑ์มาตรฐานแตกต่างกันไหม?

โดยทั่วไป ตัวชี้วัสดุโมเมนตัมแบบคลาสสิคนิยมใช้ระดับมาตรฐานเช่น 70 (overbought) และ 30 (oversold) ของ RSI เพื่อเตือนถึงจุดกลับตัวหรือลงทุนเพิ่ม แต่สำหรับ CMO จะใช้เกณฑ์ดังนี้:

  • ค่าที่เหนือ +50 หมายถึงภาวะซื้อมากเกินไป
  • ค่าที่ต่ำกว่า -50 หมายถึงภาวะขายมากเกินไป

เนื่องจาก range ของมันก็กำหนดยู่ระหว่าง -100 ถึง +100 ทำให้นักลงทุนมีเสรีในการตีความเพิ่มเติม เช่น:

  • ข้ามเหนือ +50 อาจหมายถึงแรงซื้อเต็มสูบ
  • ข้ามต่ำกว่า -50 อาจเตือนว่ามีแรงขายหมดแล้ว หรือใกล้จะกลับหัวก็ได้

ข้อดีคือ นักเทคนิคสามารถปรับกลยุทธ์ตามบริบทใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้นเมื่อรู้จักระดับเหล่านี้ พร้อมทั้งนำข้อมูลไปปรับใช้ร่วมกับกลยุทธ์อื่นๆ ได้ดีขึ้นอีกด้วย

เทคนิคสร้างสัญญาณซื้อ/ขาย

อีกหนึ่งข้อแตกต่าง คือ วิธีสร้างสัญญาณซื้อ/ขาย:

  • RSI มักใช้อิงระดับผ่าน crossover ที่ระดับ 70/30 ถ้า RSI ขึ้นทะลุเหนือ 70 ก็อาจหมายถึงเข้าสู่เขตกำลังซื้อมากเกิน, ถ้าต่ำกว่า 30 ก็เข้าสู่เขตกำลังขายมากเกิน

  • CMO มักใช้วิธี crossovers ไม่เพียงแต่ระดับ (+50/-50) เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) ของมันเอง เพื่อยืนยันจังหวะแรง trend ก่อนดำเนินกลยุทธ์จริง

การใช้งานจริง & บริบทตลาด

ตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในวงการเงินปลายยุค ’90s จวบจนได้รับนิยมแพร่หลายทั่วทุกตลาด—CMO ก็ได้รับคำชมเรื่องคุณสมบัติในการรับมือกับสถานการณ์ volatile อย่างคริปโต เทรดยังไงก็ต้องเผื่อไว้ว่า ราคาจะพลิกผันรวดเร็ว นักเทคนิคหลายคนเลือกใช้ง่วมหลายๆ เครื่องมือ เช่น Moving Averages, Bollinger Bands®, MACD เพื่อเสริมข้อมูลประกอบกัน

โดยเฉพาะหลังปี 2017–2018 ที่ Bitcoin พุ่งทะยาน การหาเครื่องมือจับจังหวะแบบแม่นยำก็กลายเป็นเรื่องจำเป็น ระบบ Algorithmic Trading ก็เริ่มนำเอา parameter จากสูตร CMO ไปปรับแต่งเพื่อรองรับระบบอัตโนมัติ รวมทั้งตั้งค่าขั้นสูงตาม threshold (+50/-50)

ข้อจำกัด: สัญญาณหลอก & เงื่อนไขตลาด

แม้ว่า CMO จะมีข้อดีด้านลด sensitivity เมื่อเปรียบเทียบกับบางเครื่องมือทั่วไป แต่มันก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ:

  1. เหมือน oscillator ทั่วไป หากใช้อย่างไม่ถูกต้อง โดยไม่มี confirmation จากองค์ประกอบอื่น อาจเกิด false signals ได้
  2. ในช่วงเวลาที่ตลาดเคลื่อนไหวสูง—เช่น ข่าวใหญ่—มันอาจรายงานค่าผิดเพราะฉะนั้น ต้องปรับ parameter ให้เหมาะสม
  3. ในช่วง market trend ไม่มี reversal ชัดเจน หรือง่ายๆ คือ sideway market ก็อาจทำให้เกิดข้อความคลุมเครือ จำเป็นต้องเสริมด้วยวิธีอื่นเพื่อ validate อีกที

สรุปสาระสำคัญว่าทำไมมันจึงแตกต่างจาก indicator แบบเดิมๆ?

เพื่อให้ง่ายที่สุด,

  • สูตร calculation ของ CMO ต่างออกไป เพราะดูทั้ง high-low range กับ difference ระหว่าง close ต่อ close แทนที่จะดูแค่ average gains/losses
  • ช่วง oscillation ก็ก้าวไกลกว่าของ RSI อยู่ที่ -100 ถึง +100 ทำให้อ่านง่ายขึ้น
  • มี less sensitivity ต่อ volatility สูง แต่ยังควรกำหนดยูนิต parameter ให้เหมาะสมร่วมด้วย
  • เกณฑ์ threshold (+50 / -50) แตกต่างจาก standard RSI (70 /30) ให้มุมมองใหม่เกี่ยวกับ extreme market conditions
  • การสร้าง signal ด้วย crossovers สามารถเลือก trigger เป็น level-based หรือ interaction กับ moving average สำหรับ trend analysis ที่ dynamic มากขึ้น

ทำไมผู้ค้าคุณควรรวมสอง indicator เข้าด้วยกัน?

แม้คุณจะเข้าใจหน้าที่แต่ละ tool ดีแล้ว การนำมาใช้ร่วมกันจะเพิ่มโอกาสในการตีโจทย์ถูกต้อง แม่นยำมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น,

  • ใช้ RSI ร่วม CMO เพื่อยืนยันว่าจะเข้าสถานการณ์ overbought จริงไหมก่อนเปิดตำแหน่ง

  • ใช้ moving averages จาก oscillator ทั้งสองชนิด เป็น confirmation เพิ่มเติม

นี่ถือเป็นหลัก E-A-T (Expertise–Authoritativeness–Trustworthiness) ที่ช่วยเสริมสร้างพื้นฐานด้าน วิเคราะห์ข้อมูลหลายรูปแบบ ไม่ควรมองข้ามทีเดียว

คิดอย่างไร? เลือก Indicator ไหน ตามรูปแบบ trading ของคุณ?

สุดท้าย คุณควรถูกเลือก indicator ตามบริบท trading ของคุณเอง ดังนี้:

Aspectตัวชี้วัสดุธรรมดาว่า(เช่น RSI)Chande Momentum Oscillator
ความไวไวกว่ามาก; เสี่ยง false signals ใน volatile สูงน้อยกว่า; เหมาะสำหรับ turbulent markets
จุดสนใจสูตรค่าเฉลี่ย gain/lossRange high-low ต่าง ๆ
ช่วงค่าfixed อยู่ที่ 0–100ก้าวไกล (-100/+100)
Overbought/Oversoldปกติอยู่บนระดับประมาณ 70/30ประมาณ +50 / -50

สำหรับนักเล่นรายวัน หัวใจหลักคือ ตลาด Volatile อย่างคริปโต — กลุ่มนี้ CMOs จะตอบโจทย์ดี เพราะออกแบบมาเพื่อรองรับสถานการณ์เหล่านี้ยิ่งเมื่อใช้อย่างถูกวิธีคู่กับ tools อื่น ย่อมน่าไว้ใจในการจับ trend และหา entry/exits ได้ง่ายขึ้นอีกเยอะ!


โดยเข้าใจพื้นฐานเหล่านี้ย่อมนำไปปรับแต่ง strategy ให้แข็งแกร่ง ตลอดจนมั่นใจก่อนลงสนามจริง ทั้งยังลดโอกาสผิดพลาด เพิ่มโอกาสทำกำไรตามสถานการณ์ครับ

16
0
0
0
Background
Avatar

JCUSER-WVMdslBw

2025-05-14 14:48

Chande Momentum Oscillator แตกต่างจากตัวบ่งชี้เทรดชนิดมอเมนทั่ม传统อย่างไร?

วิธีที่ Chande Momentum Oscillator แตกต่างจากตัวชี้วัดโมเมนตัมแบบดั้งเดิม?

การเข้าใจความแตกต่างของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุนที่ต้องการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล ในบรรดาเครื่องมือต่าง ๆ ตัวชี้วัดโมเมนตัมมีบทบาทสำคัญในการประเมินความแข็งแกร่งและความยั่งยืนของแนวโน้มราคา ชานด์ โมเมนตัม ออสซิลเลเตอร์ (CMO) ซึ่งพัฒนาโดย Tushar Chande ในช่วงทศวรรษ 1990 มีแนวทางเฉพาะตัวเมื่อเปรียบเทียบกับตัวชี้วัดโมเมนตัมแบบดั้งเดิม เช่น Relative Strength Index (RSI) บทความนี้จะอธิบายว่า CMO แตกต่างจากเครื่องมือทั่วไปอย่างไร โดยเน้นวิธีการคำนวณ ความไวต่อสภาพตลาด และการใช้งานในเชิงปฏิบัติ

ตัวชี้วัดโมเมนตัมคืออะไร?

ก่อนที่จะเจาะลึกถึงความแตกต่าง สิ่งสำคัญคือเข้าใจว่าตัวชี้วัดโมเมนตัมทำอะไร พวกมันจะวัดอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ โดยช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุได้ว่า สินทรัพย์กำลังเพิ่มหรือสูญเสียแรงขับเคลื่อน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการจับจังหวะเข้าซื้อหรือขายในตลาด เช่น หุ้น หรือคริปโตเคอร์เรนซี

ตัวชี้วัดโมเมนตัมแบบดั้งเดิม เช่น RSI วิเคราะห์แนวดิ่งของราคาล่าสุดเพื่อสร้างสัญญาณเกี่ยวกับภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป สัญญาณเหล่านี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถทำนายได้ว่ามีโอกาสเกิดการกลับตัวหรือแนวนอนต่อเนื่องกันของแนวโน้มราคา

วิธีคำนวณเฉพาะของ Chande Momentum Oscillator

หนึ่งในความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่าง CMO กับตัวชี้วัดทั่วไปอยู่ที่สูตรการคำนวณ RSI จะใช้ค่าเฉลี่ยกำไรและขาดทุนในช่วงเวลาที่กำหนด—โดยปกติคือ 14 วัน—to produce its readings on a scale from 0 to 100.

ตรงกันข้าม CMO ใช้วิธีที่แตกต่างออกไป ซึ่งพิจารณาทั้งขนาดและทิศทางอย่างละเอียดมากขึ้น:

  • คำนึงถึง ส่วนต่างระหว่างจุดสูงสุดล่าสุดกับต่ำสุดล่าสุด ภายในช่วงเวลาที่กำหนด
  • แล้วนำมาหารด้วย ผลรวมของค่าความแตกต่างสัมบูรณ์ ระหว่างราคาปิดแต่ละวันในช่วงเวลาเดียวกัน

วิธีนี้ส่งผลให้ค่าที่ได้อยู่ระหว่าง -100 ถึง +100 แทนที่จะเป็น 0–100 เหมือน RSI ซึ่งช่วยให้เห็นภาพรวมเกี่ยวกับแรงสนับสนุนทั้งด้านขึ้นและลงพร้อมกัน ทำให้เข้าใจแนวนอนและแรงผลักดันตามธรรมชาติได้ดีขึ้นกว่าเดิม

ความไวต่อความผันผวนของตลาด

สภาพคล่องและความผันผวนของตลาดสามารถส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของเครื่องมือเหล่านี้ได้ RSI มีแน้วโน้มที่จะไวมาก เมื่อเกิดการแก่วิ่งเร็ว ๆ หรือ ตลาดมีเสียงดัง มันอาจสร้างสัญญาณผิดพลาดจำนวนมาก เนื่องจากอาศัยค่าเฉลี่ยกำไร/ขาดทุนระยะสั้นเป็นหลัก

ส่วน CMO ได้รับการออกแบบมาเพื่อลดผลกระทบจาก volatility อย่างรวบรัด การคิดเลขนี้จะทำให้เสียงรบกวนลดลง จึงเหมาะสมสำหรับสินทรัพย์เช่นคริปโต ที่มักพบกับพลิกผันอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่ใช่เครื่องมือสมบูรณ์ เพราะไม่มีอะไรที่ปลอดภัยจากสัญญาณผิด คำแนะนำคือใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นเพื่อเสริมประสิทธิภาพสูงสุด

ระดับ overbought และ oversold: เกณฑ์มาตรฐานแตกต่างกันไหม?

โดยทั่วไป ตัวชี้วัสดุโมเมนตัมแบบคลาสสิคนิยมใช้ระดับมาตรฐานเช่น 70 (overbought) และ 30 (oversold) ของ RSI เพื่อเตือนถึงจุดกลับตัวหรือลงทุนเพิ่ม แต่สำหรับ CMO จะใช้เกณฑ์ดังนี้:

  • ค่าที่เหนือ +50 หมายถึงภาวะซื้อมากเกินไป
  • ค่าที่ต่ำกว่า -50 หมายถึงภาวะขายมากเกินไป

เนื่องจาก range ของมันก็กำหนดยู่ระหว่าง -100 ถึง +100 ทำให้นักลงทุนมีเสรีในการตีความเพิ่มเติม เช่น:

  • ข้ามเหนือ +50 อาจหมายถึงแรงซื้อเต็มสูบ
  • ข้ามต่ำกว่า -50 อาจเตือนว่ามีแรงขายหมดแล้ว หรือใกล้จะกลับหัวก็ได้

ข้อดีคือ นักเทคนิคสามารถปรับกลยุทธ์ตามบริบทใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้นเมื่อรู้จักระดับเหล่านี้ พร้อมทั้งนำข้อมูลไปปรับใช้ร่วมกับกลยุทธ์อื่นๆ ได้ดีขึ้นอีกด้วย

เทคนิคสร้างสัญญาณซื้อ/ขาย

อีกหนึ่งข้อแตกต่าง คือ วิธีสร้างสัญญาณซื้อ/ขาย:

  • RSI มักใช้อิงระดับผ่าน crossover ที่ระดับ 70/30 ถ้า RSI ขึ้นทะลุเหนือ 70 ก็อาจหมายถึงเข้าสู่เขตกำลังซื้อมากเกิน, ถ้าต่ำกว่า 30 ก็เข้าสู่เขตกำลังขายมากเกิน

  • CMO มักใช้วิธี crossovers ไม่เพียงแต่ระดับ (+50/-50) เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) ของมันเอง เพื่อยืนยันจังหวะแรง trend ก่อนดำเนินกลยุทธ์จริง

การใช้งานจริง & บริบทตลาด

ตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในวงการเงินปลายยุค ’90s จวบจนได้รับนิยมแพร่หลายทั่วทุกตลาด—CMO ก็ได้รับคำชมเรื่องคุณสมบัติในการรับมือกับสถานการณ์ volatile อย่างคริปโต เทรดยังไงก็ต้องเผื่อไว้ว่า ราคาจะพลิกผันรวดเร็ว นักเทคนิคหลายคนเลือกใช้ง่วมหลายๆ เครื่องมือ เช่น Moving Averages, Bollinger Bands®, MACD เพื่อเสริมข้อมูลประกอบกัน

โดยเฉพาะหลังปี 2017–2018 ที่ Bitcoin พุ่งทะยาน การหาเครื่องมือจับจังหวะแบบแม่นยำก็กลายเป็นเรื่องจำเป็น ระบบ Algorithmic Trading ก็เริ่มนำเอา parameter จากสูตร CMO ไปปรับแต่งเพื่อรองรับระบบอัตโนมัติ รวมทั้งตั้งค่าขั้นสูงตาม threshold (+50/-50)

ข้อจำกัด: สัญญาณหลอก & เงื่อนไขตลาด

แม้ว่า CMO จะมีข้อดีด้านลด sensitivity เมื่อเปรียบเทียบกับบางเครื่องมือทั่วไป แต่มันก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ:

  1. เหมือน oscillator ทั่วไป หากใช้อย่างไม่ถูกต้อง โดยไม่มี confirmation จากองค์ประกอบอื่น อาจเกิด false signals ได้
  2. ในช่วงเวลาที่ตลาดเคลื่อนไหวสูง—เช่น ข่าวใหญ่—มันอาจรายงานค่าผิดเพราะฉะนั้น ต้องปรับ parameter ให้เหมาะสม
  3. ในช่วง market trend ไม่มี reversal ชัดเจน หรือง่ายๆ คือ sideway market ก็อาจทำให้เกิดข้อความคลุมเครือ จำเป็นต้องเสริมด้วยวิธีอื่นเพื่อ validate อีกที

สรุปสาระสำคัญว่าทำไมมันจึงแตกต่างจาก indicator แบบเดิมๆ?

เพื่อให้ง่ายที่สุด,

  • สูตร calculation ของ CMO ต่างออกไป เพราะดูทั้ง high-low range กับ difference ระหว่าง close ต่อ close แทนที่จะดูแค่ average gains/losses
  • ช่วง oscillation ก็ก้าวไกลกว่าของ RSI อยู่ที่ -100 ถึง +100 ทำให้อ่านง่ายขึ้น
  • มี less sensitivity ต่อ volatility สูง แต่ยังควรกำหนดยูนิต parameter ให้เหมาะสมร่วมด้วย
  • เกณฑ์ threshold (+50 / -50) แตกต่างจาก standard RSI (70 /30) ให้มุมมองใหม่เกี่ยวกับ extreme market conditions
  • การสร้าง signal ด้วย crossovers สามารถเลือก trigger เป็น level-based หรือ interaction กับ moving average สำหรับ trend analysis ที่ dynamic มากขึ้น

ทำไมผู้ค้าคุณควรรวมสอง indicator เข้าด้วยกัน?

แม้คุณจะเข้าใจหน้าที่แต่ละ tool ดีแล้ว การนำมาใช้ร่วมกันจะเพิ่มโอกาสในการตีโจทย์ถูกต้อง แม่นยำมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น,

  • ใช้ RSI ร่วม CMO เพื่อยืนยันว่าจะเข้าสถานการณ์ overbought จริงไหมก่อนเปิดตำแหน่ง

  • ใช้ moving averages จาก oscillator ทั้งสองชนิด เป็น confirmation เพิ่มเติม

นี่ถือเป็นหลัก E-A-T (Expertise–Authoritativeness–Trustworthiness) ที่ช่วยเสริมสร้างพื้นฐานด้าน วิเคราะห์ข้อมูลหลายรูปแบบ ไม่ควรมองข้ามทีเดียว

คิดอย่างไร? เลือก Indicator ไหน ตามรูปแบบ trading ของคุณ?

สุดท้าย คุณควรถูกเลือก indicator ตามบริบท trading ของคุณเอง ดังนี้:

Aspectตัวชี้วัสดุธรรมดาว่า(เช่น RSI)Chande Momentum Oscillator
ความไวไวกว่ามาก; เสี่ยง false signals ใน volatile สูงน้อยกว่า; เหมาะสำหรับ turbulent markets
จุดสนใจสูตรค่าเฉลี่ย gain/lossRange high-low ต่าง ๆ
ช่วงค่าfixed อยู่ที่ 0–100ก้าวไกล (-100/+100)
Overbought/Oversoldปกติอยู่บนระดับประมาณ 70/30ประมาณ +50 / -50

สำหรับนักเล่นรายวัน หัวใจหลักคือ ตลาด Volatile อย่างคริปโต — กลุ่มนี้ CMOs จะตอบโจทย์ดี เพราะออกแบบมาเพื่อรองรับสถานการณ์เหล่านี้ยิ่งเมื่อใช้อย่างถูกวิธีคู่กับ tools อื่น ย่อมน่าไว้ใจในการจับ trend และหา entry/exits ได้ง่ายขึ้นอีกเยอะ!


โดยเข้าใจพื้นฐานเหล่านี้ย่อมนำไปปรับแต่ง strategy ให้แข็งแกร่ง ตลอดจนมั่นใจก่อนลงสนามจริง ทั้งยังลดโอกาสผิดพลาด เพิ่มโอกาสทำกำไรตามสถานการณ์ครับ

JuCoin Square

คำเตือน:มีเนื้อหาจากบุคคลที่สาม ไม่ใช่คำแนะนำทางการเงิน
ดูรายละเอียดในข้อกำหนดและเงื่อนไข